แสงยูวี หรือแสงแดดที่ส่องผ่านมายังโลกของเรา และเป็นอันตรายต่อผิวของมนุษย์ แสงที่ทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังมากที่สุด คือแสงอัลตราไวโอเลตหรือแสงยูวี แยกได้เป็น 2 ชนิด คือ แสงยูวีเอ และยูวีบี แสงยูวีเอมีช่วงคลื่นที่ยาวกว่ายูวีบี สามารถผ่านทะลุเข้าไปชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ และทะลุเมฆหมอกได้ แม้วันที่แดดไม่จ้าแต่ปริมาณแสงยูวีเอก็ยังมีมาก ทำให้ผิวคล้ำเป็นฝ้า กระ เหี่ยวย่น ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ ส่วนแสงยูวีบีเป็นแสงช่วงคลื่นสั้นกว่ายูวีเอ ทำให้เกิด Sunburn ทำให้ผิวแห้งกร้าน ผิวเหี่ยวย่น คล้ำเป็นฝ้า กระ ซึ่งเมื่อถูกแดดเป็นประจำจะทำให้เกิดมะเร็งได้ในระยะยาว

วิธีป้องกัน

     สามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการตากแดดในช่วงเวลาที่มีรังสีอัลตราไวโอเลตมากๆ ระหว่างเวลา 10.00 - 15.00 น. หากจำเป็นต้องตากแดดก็ควรปกปิดผิวพรรณด้วยการใส่เสื้อแขนยาวคอปิด กางร่ม หรือใส่หมวกปีกกว้าง สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรละเลยเป็นอย่างยิ่งคือ การทาครีมกันแดดเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เพราะแม้จะอยู่ใต้ต้นไม้หรือชายคาบ้าน ก็ยังมีโอกาสได้รับรังสียูวี เพราะพื้นคอนกรีต พื้นน้ำ พื้นทราย สามารถสะท้อนรังสียูวีเข้าสู่ผิวกายได้ หรือแม้กระทั่งวันที่มีเมฆหมอกหนาก็ยังต้องทาครีมกันแดด เพราะรังสียูวีเอ สามารถทะลุเมฆหมอกได้

วิธีทาครีมกันแดดที่ถูกต้อง

     ควรทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เป็นเด็ก โดยเฉพาะเด็กๆที่เรียนว่ายน้ำหรือเล่นกีฬากลางแจ้ง เพราะแสงอัลตราไวโอเลตจะมีผลเสียต่อผิวหนังแบบสะสม จึงควรป้องกันตั้งแต่เด็ก และควรทาครีมกันแดดครึ่งชั่วโมงก่อนออกจากบ้าน และควรทาซ้ำถ้าว่ายน้ำหรือเล่นกีฬามีเหงื่อมาก

การเลือกใช้ครีมกันแดด

     เลือกชนิดที่เหมาะกับผิวและมีประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดอย่างแท้จริง ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองและแพ้ สามารถป้องกันได้ทั้งรังสียูวีเอ และยูวีบี สำหรับผิวชาวเอเซียและคนไทย ครีมกันแดดที่เลือกใช้ควรมีค่าเอสพีเอฟประมาณ 15 - 30    สำหรับในชีวิตประจำวัน ซึ่งถูกแดดไม่มาก และควรใช้อย่างสม่ำเสมอ   แต่ถ้าไปเที่ยวทะเลหรือเล่นกีฬากลางแจ้ง ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟที่สูงขึ้น มีคุณสมบัติในการกันน้ำได้ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีข้อความภาษาอังกฤษว่า "Waterproof"

     นอกจากผิวกายแล้ว ผิวหน้าก็เป็นส่วนสำคัญที่ควรได้รับการดูแลอย่างดี เพราะเป็นส่วนที่ถูกแสงแดดมากที่สุด

การปรับสภาพผิวหน้าให้สดใสด้วยเอเอชเอ

    ผิวหนังประกอบด้วยชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้  ชั้นบนสุดของหนังกำพร้าเป็นขี้ไคล (Stratum  Corneum) โดยปกติเซลล์ในชั้นหนังกำพร้าจะมีการผลัดเปลี่ยนกลายเป็นขี้ไคลและหลุดลอกออกไปตามธรรมชาติ ในผิวหนังของเด็กขบวนการนี้จะเกิดขึ้นเร็ว ทำให้เด็กมีผิวหน้าที่ผุดผ่อง เรียบเกลี้ยง แลดูสดใส คนที่มีอายุมากขึ้น ขั้นตอนในการลอกผิวหนังจะช้าลง มีขี้ไคลหนาขึ้น เมื่อมีปัจจัยภายนอกต่างๆมาเสริม เช่น สัมผัสแสงแดดบ่อย มลพิษ สารเคมี สูบบุหรี่จะทำให้ผิวเสื่อมสภาพและชราภาพ ทำให้เกิดผิวหยาบกร้าน มีรอยด่างดำ ตกกระ ฝ้า รอยเหี่ยวย่น ผิวหน้าแลดูหมองคล้ำ ไม่สดใส

     การปรับสภาพผิวหน้าด้วยเอเอชเอ จะช่วยให้กระบวนการผลัดผิวเร็วขึ้น และสม่ำเสมอ ทำให้รูขุมขนไม่อุดตัน ช่วยในการขับน้ำคัดหลั่งของต่อมเหงื่อ เซลล์ใหม่ที่ขึ้นทดแทนเซลล์เก่า ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ยังทำให้ผิวหนาขึ้น ช่วยป้องกันและปกป้องผิวจากมลภาวะแวดล้อม และยังกระตุ้นการสร้าง Collagen อีกด้วย

     AHA ย่อมาจาก Alphahydroxy acids ซึ่งเป็นสารที่สกัดจากผลไม้หลายชนิด หรือรวมเรียกว่ากรดผลไม้ (Fruit Acids) ช่วยให้ริ้วรอยเล็กๆ ลดลง ผิวเนียนเรียบขึ้น ผิวหนังสุขภาพดี และสะท้อนแสงอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ริ้วรอยด่างดำ รอยหมองคล้ำ และริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป และมีผิวพรรณที่ดูสดใส ดูอ่อนกว่าวัย

     สารเอเอชเอ ที่ใช้ในการปรับสภาพผิวหน้าแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือชนิดที่มีความเข้มข้นสูง และชนิดที่มีความเข้มข้นต่ำ

     แพทย์จะใช้สารเอเอชเอที่มีความเข้มข้นสูงทาที่ใบหน้า แล้วทิ้งไว้เป็นเวลา 3 - 5 นาที แล้วล้างออก หลังจากนั้นจะให้สารเอเอชเอที่มีความเข้มข้นต่ำ กลับไปทาที่บ้านทุกวัน หลังจากนั้นจะนัดผู้ป่วยมาทุก 1 - 2 สัปดาห์ มาปรับสภาพผิวหน้าอีก โดยระยะ 4 - 6 สัปดาห์แรกจะทำทุก 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็ห่างออกเป็น 2 - 3 สัปดาห์ โดยครั้งต่อมาจะเพิ่มเวลาในการทาสารเอเอชเอเพิ่มขึ้น และอาจจะเพิ่มความเข้มข้นของเอเอชเอ ที่ให้กลับไปทาที่บ้าน เมื่อทาสารเอเอชเอจะมีอาการแสบๆ คันๆ เล็กน้อย เมื่อทำเสร็จใบหน้าอาจจะแดงเรื่อๆ แล้วหายไป ซึ่งสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ ในบางรายหลังจากปรับสภาพ 1 - 2 วัน อาจจะมีผิวหน้าเป็นขุย ๆ ลอก ๆ นิดหน่อย แต่จะไม่ลอกออกเป็นแผ่น เมื่อขุยลอกออกหมดผิวหน้าจะเรียบเนียนขึ้น

     หลังจากปรับสภาพผิวหน้าด้วยเอเอชเอ ควรจะพยายามเลี่ยงแสงแดดจัด และทายาหรือครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน

ที่มา : หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก

ภาพจากอินเทอร์เน็ต